การแสดงความยินยอมเข้าร่วมโครงการวิจัยเป็นกระบวนการที่อาสาสมัครและพ่อแม่ผู้ปกครอง
(ถ้าจำเป็น) ที่สนใจเข้าร่วมโครงการวิจัย
ได้ตัดสินใจด้วยความสมัครใจหลังจากได้รับข้อมูลเกี่ยวกับโครงการวิจัยอย่างละเอียดแล้ว
ผู้วิจัยจะได้รับการยินยอมจากอาสาสมัคร และพ่อแม่ผู้ปกครอง (ถ้าจำเป็น) อย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
ก่อนที่จะคัดกรองเพื่อเข้าโครงการวิจัยโดยการลงนามและลงวันที่ในเอกสารขอความยินยอม
การยินยอมเป็นกระบวนการที่ดำเนินต่อเนื่องไปตลอดการวิจัย
จากนี้ไป
คำว่า อาสาสมัคร หมายถึง อาสาสมัครและพ่อแม่ผู้ปกครอง (ถ้าจำเป็น)
1. วัตถุประสงค์
เพื่อเป็นมาตรฐานการปฏิบัติงานในกระบวนการยินยอมเข้าร่วมโครงการ
2. ผู้ปฏิบัติ
เป็นผู้ที่มีชื่อในแบบบันทึก“รายชื่อทีมวิจัย บทบาทและความรับผิดชอบ (Delegation Log)” ซึ่งได้รับมอบหมายเป็นผู้ให้ข้อมูลทั้งหมดแก่อาสาสมัคร ได้แก่ ผู้วิจัยหลัก ผู้วิจัยร่วม ผู้ประสานงานโครงการ
พยาบาลวิจัย หรือผู้วิจัยที่ได้รับมอบหมายหน้าที่
3. หน้าที่ความรับผิดชอบ ผู้ปฏิบัติเป็นผู้ที่มีหน้าที่ให้ข้อมูลรายละเอียดโครงการ
ตอบข้อสงสัย/ข้อคำถาม ขอความยินยอมกับอาสาสมัคร
และบันทึกกระบวนการขอความยินยอม ผู้ปฏิบัติต้องผ่านการอบรมเกี่ยวกับจริยธรรมการวิจัย
การปฏิบัติการวิจัยทางคลินิกที่ดี (Good
Clinical Practices: GCP) และมีการอบรมเกี่ยวกับ ขั้นตอน
กระบวนการของโครงการวิจัยนี้ มีความเข้าใจโครงการวิจัยอย่างละเอียด สามารถตอบข้อสงสัยของอาสาสมัคร
และเปิดโอกาสให้อาสาสมัครมีเวลาพอเพียงในการตัดสินใจเข้าร่วมโครงการวิจัยด้วยความสมัครใจ
4.
วิธีดำเนินงาน
ถ้าพบว่ามีหลักฐานที่แสดงว่าอาสาสมัครมีคุณสมบัติเบื้องต้นสามารถเข้าร่วมโครงการได้
ผู้วิจัยจะต้องให้อาสาสมัครแสดงความยินยอมก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการต่างๆในโครงการวิจัย
โดยมีวิธีการปฏิบัติดังนี้
4.1 ผู้วิจัยที่ได้รับมอบหมายแนะนำตนเอง ชื่อ นามสกุล
รวมทั้งหน้าที่ความรับผิดชอบของตนเองภายในโครงการวิจัย และสร้างสัมพันธ์ภาพที่ดีกับอาสาสมัคร
4.2 อธิบายเกี่ยวกับโรค พยาธิสภาพและการดำเนินการของโรค และการรักษาที่มีให้แก่อาสาสมัคร
4.3 แนะนำโครงการวิจัย และอธิบาย
กิจกรรมวิจัยทั้งหมด ตั้งแต่การคัดกรอง การคัดเลือก การรักษา และการติดตามผล โดยการอ่านจากเอกสารขอความยินยอม
4.4 กรณีที่อาสาสมัครไม่สามารถอ่านหนังสือได้ ปฏิบัติดังนี้
4.5.1 ผู้วิจัยสามารถอ่านเอกสารขอความยินยอมให้ผู้เข้าร่วมโครงการฟังได้
4.5.2 อาสาสมัครอาจหาผู้ที่จะอ่านเอกสารขอความยินยอมในภาษาที่ตนเองสามารถเข้าใจได้ซึ่งบุคคลดังกล่าวต้องเป็นผู้ใหญ่และต้องมาอยู่ในระหว่างกระบวนการลงนามในเอกสารขอความยินยอม
4.5.3 การลงนามในเอกสารขอความยินยอมสำหรับผู้เข้าร่วมโครงการที่ไม่รู้หนังสือ
อาจพิมพ์ชื่อของผู้เข้าร่วมโครงการที่เส้นบรรทัดของชื่อและขอให้ผู้เข้าร่วมโครงการทำเครื่องหมาย
จะใช้การพิมพ์ชื่อ ใช้ปั๊มลายนิ้วมือ (หัวแม่มือด้านขวา) แทน
จากนั้นให้พยานลงนามและลงวันที่ในฐานะพยาน โดยที่พยานไม่ควรเป็นสมาชิกของทีมวิจัย
4.5 เมื่อให้ข้อมูลแก่อาสาสมัครแล้ว เปิดโอกาสให้อาสาสมัครซักถาม
และตอบคำถามจนกว่าจะมั่นใจว่าอาสาสมัครเข้าใจในข้อมูลทั้งหมด
และให้เวลาในการศึกษาข้อความในเอกสารขอความยินยอมอย่างเพียงพอเพื่อเป็นแนวทางในการพิจารณาทางเลือกต่างๆ
ในทุกเรื่อง และในกระบวนการนี้จะต้องไม่เป็นการชักชวน
หรือการบีบบังคับอาสาสมัครให้เข้าร่วมโครงการวิจัยแต่อย่างใด
4.6 การลงนามในใบยินยอม
4.6.1 อาสาสมัครลงนามและลงวันที่ในเอกสารขอความยินยอม
4.6.2 หากอาสาสมัครอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้ ให้ลงนามโดยใช้ปั๊มลายนิ้วมือ
(หัวแม่มือด้านขวา) และแล้วให้พยานลงนามและวันที่ พยานในที่นี้จะต้องเป็นผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโครงการวิจัย
หลังจากนั้นผู้วิจัยที่อธิบายเอกสารขอความยินยอมลงนามและวันที่เป็นขั้นตอนสุดท้าย
4.6.3 หากอาสาสมัครอายุ 7 ปี ถึงน้อยกว่า
18 ปี และพ่อแม่ผู้ปกครองตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ ผู้วิจัยจะขอให้ผู้เข้าร่วมโครงการลงนามและลงวันที่ในเอกสารขอความยินยอมของอาสาสมัครเด็กจำนวน1 ชุด และต้องให้พ่อแม่ผู้ปกครองลงนามเอกสารขอความยินยอมอีกครั้งเป็นจำนวน
1 ชุด
4.6.4 เมื่อเสร็จขั้นตอนการลงนามในเอกสารขอความยินยอมแล้ว ทางผู้วิจัยจะให้หนังสือยินยอมที่สมบูรณ์แล้วกับอาสาสมัคร
หรือผู้ปกครองจำนวน 1 ชุด
แล้วที่เหลืออีก 1 ชุดจะเก็บไว้ที่โครงการวิจัยอย่างมิดชิดและปลอดภัย
เพื่อเป็นการรักษาความลับของผู้เข้าร่วมโครงการ
4.7 บันทึกในประวัติของผู้เข้าร่วมโครงการโดยละเอียดว่าได้แสดงการยินยอมก่อนที่จะเริ่มกระบวนการคัดกรองรวมถึงเมื่อผู้เข้าร่วมโครงการได้รับแบบแสดงความยินยอมแล้วเป็นจำนวน
1ชุด
4.8 ทีมวิจัยจะมีการออกหมายเลขรหัสผู้เข้าร่วมโครงการ (Subject Number) และเป็นหมายเลขรหัสของผู้เข้าร่วมโครงการซึ่งจะลงบันทึกในเอกสารคักกรอง
(Screening Enrollment Log) ทันทีที่ผู้เข้าร่วมโครงการลงนามในเอกสาร
และ เอกสารข้อมูลผู้ป่วย (Subject Identification Code list) ที่เป็นเอกสารความลับห้ามเผยแพร่ออกนอกทีมวิจัย
4.9 ถ้าอาสาสมัครไม่ยินยอมเข้าร่วมโครงการ มีข้อปฏิบัติดังนี้
4.9.1
ควรกล่าวขอคุณอาสาสมัครที่เสียสละเวลาในการพูดคุยครั้งนี้
4.9.2
หยุดกระบวนการคัดกรองเข้าสู่โครงการนี้ทั้งหมดและไม่ต้องบันทึกข้อมูลใดๆของผู้ป่วยรายนั้นๆ
4.9.3
ผู้วิจัยต้องให้ข้อมูลกับอาสาสมัครว่าการตัดสินใจไม่เข้าร่วมโครงการวิจัยจะไม่กระทบถึงการดูแลที่จะได้รับและผู้ป่วยยังสามารถได้รับการรักษาตามปกติ
5.
ภาคผนวก:
5.1 เอกสารแนะนำอาสาสมัครและใบยินยอม
5.2 แบบประเมินความเข้าใจ
5.3 Screening Enrollment Log
5.4 Subject Identification Code list
6.
อ้างอิง: ICH-GCP
การอนุมัติ:
.............................. ...........................
ลงนาม วันที่
ลงนาม วันที่
หมายเหตุ
-
หากมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขโครงร่างการวิจัยและเนื้อหาในเอกสารขอความยินยอม ผู้วิจัยต้องแจ้งอาสาสมัครที่
ยังอยู่ในโครงการให้รับทราบ
และดำเนินการให้อาสาสมัครลงนามในเอกสารขอความยินยอมฉบับใหม่อีกครั้ง
-
กรณีที่มีการกระทำที่เบี่ยงเบนไปจากกระบวนการดังกล่าวข้างต้นให้บันทึกการกระทำที่เบี่ยงเบนนี้ลงในเอกสาร
ต้นฉบับ
ทั้งในส่วนที่เก็บไว้ในแฟ้มเอกสารและส่วนที่ให้อาสาสมัครไปแล้ว
-
เก็บสำเนาบัตรประชาชนอาสาสมัคร
รวมทั้งผู้ปกครองและพยาน (ถ้าจำเป็น)
ไว้กับเอกสารขอความยินยอมที่ลง
นามแล้ว (เก็บเป็นความลับ)
Footnoteที่ต้องมีทุกหน้า: บอกชื่อเอกสาร ฉบับที่ และ หน้าที่/จากจำนวนทั้งหมดกี่หน้า
Footnoteที่ต้องมีทุกหน้า: บอกชื่อเอกสาร ฉบับที่ และ หน้าที่/จากจำนวนทั้งหมดกี่หน้า
เป็นเพียงตัวอย่างนะคะ ต้องปรับตามคณะกรรมการจริยธรรมที่เกี่ยวข้อง ผู้ให้ทุน สถาบัน โครงร่างการวิจัย และอื่นๆ