CRC Café : COVID19
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ COVID19 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ COVID19 แสดงบทความทั้งหมด

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

อาสาสมัครวิจัย Subject


อาสาสมัครวิจัย (Subject)

การดำเนินการวิจัยทางคลินิกต้องประกอบด้วยบุคคลหลายๆฝ่าย (ดู ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการทำวิจัย) ผู้วิจัยมีหน้าที่รับผิดชอบในการปกป้องสิทธิ ความปลอดภัยและความเป็นอยู่ที่ดีของอาสาสมัครวิจัย  รวมทั้งดำเนินงานวิจัยตามโครงร่างการวิจัย ส่วนผู้ให้ทุนวิจัยจะรับผิดชอบในการสนับสนุนงบประมาณ ออกแบบการวิจัย ติดต่อสื่อสารกับหน่วยควบคุมกฎระเบียบ และกำกับดูแลการวิจัย ทั้งหมดนี้เพื่อทำให้การวิจัยถูกต้องตามหลักสากลด้านจริยธรรมและการปฏิบัติวิจัยที่ดี

การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ประชาชนมีความตื่นตัวในการวิจัยทางคลินิกเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้เรื่องโรคและการป้องกัน โดยเฉพาะวัคซีน และจากการสืบค้นโครงการวิจัยที่ลงทะเบียนใน www.clinicaltrials.gov วันที่ 21 มิถุนายน 2563 พบว่า มีการวิจัยทางคลินิกที่กำลังดำเนินการอยู่ในประเทศไทยถึง 616 โครงการ โครงการเหล่านี้ต้องการอาสาสมัครวิจัยหลายแบบ ที่อาจเป็นคนที่มีสุขภาพดี หรืออาจเป็นผู้ป่วย การวิจัยทางคลินิกจะทำไม่ได้หากไม่มี อาสาสมัครวิจัย หรืออาสาสมัครวิจัยมีจำนวนไม่เพียงพอที่จะทำการวิเคราะห์ข้อมูลได้

เพื่อให้ผลงานวิจัยที่ได้มีคุณภาพ  ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ ในการดำเนินการวิจัยทางคลินิกจึงจำเป็นต้องมี อาสาสมัครวิจัย ในจำนวนที่เพียงพอตามที่กำหนดในโครงร่างการวิจัย

อาสาสมัครวิจัย (Subject หรือ Participant หรือ Study Subject หรือ Trial Participant) เป็นบุคคลผู้เข้าร่วมวิจัยทางคลินิก ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการวิจัย หรืออยู่ในกลุ่มเปรียบเทียบก็ตาม (ICH GCP 1.57)

โครงการวิจัยที่ต้องการอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี ได้แก่ โครงการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 1 วัคซีน 2019-nCoV (mRNA-1273) มักเป็นโครงการวิจัยเพื่อพัฒนาความรู้ใหม่ๆของโรคนั้นๆ วิธีการรักษา/การป้องกัน วิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการแบบใหม่ๆ เครื่องมือ/อุปกรณ์ทางการแพทย์ชนิดใหม่ ยาหรือวัคซีนชนิดใหม่ ซึ่งการวิจัยเหล่านี้อาจไม่เกิดประโยชน์กับผู้เข้าร่วมวิจัยโดยตรง แต่จะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม บางโครงการเรียนรู้ความเป็นไปของโรคโดยการเปรียบเทียบระหว่างผู้ป่วยกับผู้ที่มีสุขภาพดี

โครงการวิจัยที่ต้องการอาสาสมัครที่เป็นผู้ป่วยได้แก่ การวิจัยระยะที่ 3 ยา XXXในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งเป็นการศึกษาชนิดและสูตรยาที่แตกต่างกันในหญิงที่มีเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ เป็นต้น การวิจัยแบบนี้จะช่วยให้เรามีความรู้ใหม่เรื่องโรค วินิจฉัยและการรักษาเพิ่มขึ้น คนที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าเป็นโรคอะไร สามารถเข้าร่วมโครงการวิจัยเพื่อจะทำได้เข้าใจระดับสภาวะสุขภาพของตัวเอง ได้รับความรู้เรื่องโรค ได้รับการวินิจฉัยและ/หรือการรักษาแบบใหม่ การเข้าร่วมโครงการวิจัยอาจเกิดประโยชน์กับอาสาสมัครวิจัยไม่มากก็น้อย

โครงการวิจัยวัคซีนชนิดใหม่ เช่น วัคซีนโควิด-19 จะทำในผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพดีก่อน เมื่อประสบความสำเร็จใช้ได้ ก็จะทำการวิจัยเพื่อหาขนาดยาที่เหมาะสมในกลุ่มอื่น เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ แล้วทำการศึกษาเพิ่มเติมในกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ เช่น กลุ่มผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ เป็นต้น

เราอาจพบการโฆษณาเชิญชวนการเข้าร่วมวิจัยตามเวปไซด์ หรือป้ายประกาศในคลินิกที่เราไปรักษาอยู่เป็นประจำ หรืออาจได้รับการบอกกล่าวจากเจ้าหน้าที่วิจัยโดยการโทรศัพท์มาหา หรือพูดคุยเมื่อไปที่คลินิก

การตัดสินใจเข้า หรือไม่เข้าร่วมโครงการนั้นขึ้นอยู่กับตัวเราเอง ไม่มีใครบังคับได้
มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เราอยากเข้า หรือไม่อยากเข้าโครงการวิจัย

บางครั้งเราพบ ผู้ที่มีสุขภาพดี เข้าร่วมโครงการวิจัยยาชนิดใหม่ หรือวัคซีนชนิดใหม่ในระยะที่ 1 เพราะได้ค่าตอบแทนสูง ในต่างประเทศมีคนทำอาชีพเป็นอาสาสมัครวิจัยและมีรายได้ค่อนข้างดีทีเดียว และมีคนเป็นจำนวนมากอยากเข้าร่วมวิจัยเพราะคิดว่า เป็นการทำบุญทำกุศล เพื่อให้เกิดความรู้ ได้วิธีการป้องกันรักษาแบบใหม่ ที่มีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม

ผู้ป่วยที่เข้าร่วมวิจัยส่วนใหญ่คิดว่า การเข้าร่วมวิจัยจะทำให้ได้รับการรักษาทางเลือกใหม่ ได้ใช้ยาใหม่ที่ทันสมัย ได้รับการบริการ การตรวจและการดูแลทางการแพทย์อย่างดี มีการตรวจสุขภาพและการตรวจทางห้องปฏิบัติการอย่างสม่ำเสมอตามกำหนดของโครงการและทำให้รู้เรื่องสภาวะสุขภาพของตนเอง ไม่เสียค่าใช้จ่าย แถมยังได้รับเงินค่าเสียเวลาและค่าเดินทางอีกด้วย

ปัจจัยอื่นๆที่มีผลทำให้บุคคลอยากเข้าร่วมโครงการวิจัย ได้แก่
-      ความร้ายแรงและความรุนแรงของโรคที่เป็น พยากรณ์โรค
-      ทัศนคติของผู้เข้าร่วมโครงการ
-      สัมพันธภาพที่มีกับแพทย์
-      การมีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการเข้าโครงการ
-      ภูมิหลัง วัฒนธรรม ศาสนา รายได้
-      ที่ตั้งของสถานที่วิจัยและความสะดวกในการเดินทาง เช่น มีรถสาธารณะ มีที่จอดรถ ระยะทางไกล
    จากบ้านหรือไม่
-      คู่สมรสและครอบครัว ทราบและสนับสนุน

ปัจจัยที่มีผลทำให้บุคคลไม่อยากเข้าร่วมโครงการวิจัย ได้แก่
-   กลัว: กลัวเป็นหนูทดลอง กลัวเข็มเจาะเลือด กลัวเจ็บ กลัวผลข้างเคียง
-   ไม่มีเวลามาตามนัด
-   ไม่อยากเปิดเผยความลับความเป็นส่วนตัว

อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจด้วยว่า การวิจัยทางคลินิก ไม่เหมือนการปฏิบัติทางการแพทย์ทั่วไปที่แพทย์เป็นผู้ดูแลตัดสินใจรักษาตามความรู้และประสบการณ์ เนื่องจากการวิจัยทางคลินิกนั้นแพทย์ผู้วิจัยต้องปฏิบัติตามโครงร่างการวิจัย

เมื่อได้รับการเชิญชวนและคิดว่ามีคุณสมบัติตามที่โครงการวิจัยกำหนดไว้ เราควรจะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับโครงการวิจัยอย่างละเอียดจากผู้วิจัย อ่านและทำความเข้าใจกับเอกสารแนะนำและใบยินยอม รับทราบสิทธิของการเป็นอาสาสมัครวิจัยตามคำประกาศเฮลซิงกิของแพทยสมาคมโลกและหลักจริยธรรมสากล
·      อาสาสมัครวิจัยควรได้รับประโยชน์จากการวิจัย ได้รับความยุติธรรมและเคารพความเป็นบุคคล
·      ได้รับการรักษาความลับและความเป็นส่วนตัว
·      ได้รับการบอกกล่าว และ
·      ปลอดจากการถูกใช้อิทธิพลอย่างเกินควรที่อาจทำให้เข้าใจผิดในเรื่องความเสี่ยงและประโยชน์จากการเข้าร่วมวิจัย

ควรได้รับรู้เงื่อนไขต่างๆเช่น
·      ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าร่วมโครงการวิจัย โอกาสที่จะเกิดความเสี่ยง/ผลข้างเคียง ระดับของความเสี่ยง เช่น โครงการนี้มีความเสี่ยงน้อยมาก หรือเมื่อเกิดก็หายไปอย่างรวดเร็ว  ความไม่สะดวกสบายที่อาจได้รับ ความเจ็บปวดจากกิจกรรมวิจัยที่เป็นหัตถการต่างๆ เช่น การเจาะเลือด หรือการซักถามสัมภาษณ์ในเรื่องส่วนตัว เช่น พฤติกรรมทางเพศ การใช้สารเสพติด
·      ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับในระยะสั้นและระยะยาว
·      พิจารณาความเสี่ยงและประโยชน์ที่เข้าร่วมวิจัย ก่อนจะตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ หากยังไม่กระจ่างก็เอากลับปรึกษาเพื่อนฝูงญาติพี่น้องหรือแพทย์ประจำตัวก่อน ไม่ต้องรีบตัดสินใจ
·      กำหนดเวลาที่ต้องอยู่ร่วมในโครงการวิจัย กำหนดนัดต่างๆ บางโครงการคุณอาจเสียเวลามาตามนัดเล็กน้อย แต่บางโครงการอาจต้องใช้เวลาเป็นวันๆ ในการทำกิจกรรมวิจัย
·      อาสาสมัครวิจัยมีสิทธิที่จะรู้ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในโครงการ ข้อมูลใหม่ๆที่เกิดขึ้นกับโครงการ

ก่อนเป็นอาสาสมัครวิจัยควรสอบถามข้อสงสัย หรือสิ่งที่มีความวิตกกังวลหากเข้าร่วมโครงการกับผู้ขอความยินยอม จนได้รับคำตอบที่พึงพอใจและเข้าใจ

ก่อนลงนาม ต้องรู้ว่า วัตถุประสงค์ของโครงการนี้คืออะไร เหตุใดผู้วิจัยจึงคิดว่าวิธีการนี้มีประสิทธิภาพดีกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ใครให้ทุนทำวิจัย ใครอนุมัติให้ทำโครงการ จะมีการติดตามผลการรักษาและความปลอดภัยของอาสาสมัครอย่างไร ใช้เวลาเท่าไรจึงเสร็จ อาสาสมัครต้องทำอะไรบ้าง ความเสี่ยงและผลข้างเคียงระยะสั้นและระยะยาวมีอะไรบ้าง ใครจะเป็นคนบอกผลการวิจัยกับฉันและจะทำอย่างไร หากไม่เข้าโครงการนี้มีทางเลือกอื่นๆไหม ข้อความที่แสดงถึงการรักษาความลับ การดูแลชดเชยในการรักษาทางการแพทย์ บุคคลที่สามารถติดต่อได้เมื่อมีปัญหาหรือต้องการออกจากการวิจัย และข้อความยืนยันการเข้าร่วมโดยสมัครใจ ทั้งนี้อาจมีข้อมูลอื่นเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม เช่น ความรับผิดชอบของผู้เข้าร่วม ฯลฯ

ผู้วิจัยจะขอความยินยอมจากอาสาสมัครโดยให้อาสาสมัครลงนามในเอกสารขอความยินยอม

แล้วจึงเริ่มทำกิจกรรมที่เป็นการวิจัยลำดับแรก คือ การคัดกรอง ว่า อาสาสมัครมีคุณสมบัติที่สามารถเข้าร่วมโครงการได้หรือไม่ โดยการซักประวัติ วัดสัญญาณชีพ ตรวจร่างกาย ตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น ตรวจการตั้งครรภ์ในหญิงวัยเจริญพันธ์ หรืออื่นๆตามที่โครงการวิจัยกำหนด

หากอาสาสมัครมีสมบัติตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด (Eligibility Criteria) ทั้งเกณฑ์คัดเข้า (Inclusion Criteria) และ เกณฑ์คัดออก (Exclusion Criteria) อาสาสมัครจึงสามารถเข้าร่วมโครงการวิจัย (Enrollment) นั้นๆได้ เกณฑ์เหล่านี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ได้แก่ อายุ เพศ ชนิดและระดับสภาวะของโรค ประวัติการรักษา และสภาวะทางการแพทย์อื่นๆ ก่อนเข้าร่วมโครงการอาสาสมัครต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริง เพื่อทำให้ทีมวิจัยสามารถตัดสินได้ว่าอาสาสมัครจะมีความปลอดภัยเมื่อเข้าร่วมโครงการหรือไม่

หากเป็นโครงการที่เกี่ยวกับยา หรือวัคซีน อาจมีการสุ่มเลือกว่าคุณจะเข้าไปอยู่กลุ่มไหน กลุ่มที่ได้ยาวิจัย หรือกลุ่มที่ได้ยาหลอก หรือแต่ละกลุ่มจะได้ขนาดยาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้แพทย์ผู้วิจัยและ/หรืออาสาสมัครอาจรู้หรือไม่รู้ว่า กลุ่มที่อาสาสมัครอยู่ได้รับยาอะไร หรือขนาดเท่าไรก็ได้
มาตามกำหนดนัดวิจัย อาจกำหนดนัดเป็นวัน เช่น วันที่ 1, 3, 5, 7, 14, 28, 180, 365 เป็นต้น หรือสัปดาห์ละครั้ง หรือเดือนละครั้ง ซึ่งอาจมีกิจกรรมวิจัยที่เหมือนกัน หรือแตกต่างกันตามที่กำหนดในโครงร่างการวิจัย เช่น ซักประวัติความเจ็บป่วยในช่วงที่ผ่านมา ตรวจร่างกาย ตรวจทางห้องปฏิบัติการ คืน/นับ/รับยาวิจัย ตอบแบบสอบถาม หรืออื่นๆ

การติดตาม ทีมวิจัยอาจโทรศัพท์ติดต่อสอบถามความเจ็บป่วย หรือนัดเข้ามาเพิ่มเติมนอกเหนือจากนัดวิจัยปกติ เช่น เมื่อผลทางห้องปฏิบัติการพบความผิดปกติ

ก่อนการเข้าร่วมโครงการวิจัย เราควรตรวจสอบว่า โครงการวิจัยนี้มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ โดยดูว่า ได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย หรือไม่ ที่ไหน เมื่อไหร่ และตรวจสอบข้อมูลการวิจัยที่มีการลงทะเบียนในเวปไซด์การวิจัยทางคลินิก เช่น https://www.anzctr.org.au/ https://www.clinicaltrials.in.th/, https://clinicaltrials.gov/

เมื่อเข้าร่วมวิจัยอาสาสมัครวิจัยเป็นผู้มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่จะทำให้ข้อมูลวิจัยออกมาถูกต้อง โดย
·      ควรมีความเชื่อถือในทีมวิจัย
·      ปฏิบัติกิจกรรมต่างๆตามที่โครงการวิจัยกำหนด เช่น หากโครงการวิจัยให้กินยาวิจัย 3 เวลา หลังอาหารครึ่งชั่วโมง เป็นเวลา 3 วัน อาสาสมัครก็ต้องปฏิบัติตามนั้น  รวมทั้งต้องมาตามกำหนดนัดทุกครั้ง  
·      รายงานอาการไม่พึงประสงค์ต่างๆที่เกิดขึ้นให้ทีมวิจัยรับทราบ
·      หากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ เช่น ย้ายบ้าน ย้ายงาน เปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ ก็ต้องรายงานทีมวิจัยเช่นกัน
·      ให้ข้อมูลที่เป็นจริง เช่น ไม่สบายไปซื้อยากินเอง

อย่าลืมว่า การตัดสินใจเข้าร่วมโครงการวิจัยต้องเป็นไปด้วยความสมัครใจของตัวท่านเอง
เมื่อเข้าโครงการวิจัยแล้วควรให้ความร่วมมือปฏิบัติตามคำแนะนำของทีมวิจัย และอยู่ในโครงการวิจัยจนครบกำหนด อาสาสมัครวิจัยเป็นหัวใจสำคัญจะทำให้ผลงานวิจัยที่ได้มีคุณภาพและข้อมูลมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2563

DEXAMETHASONE RECOVERY : ยาเดกซาเมทาโซนในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19

Dexamethasone: RECOVERY 8 June 2020

การวิจัยยาเดกซาเมทาโซนในการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19: โครงการ RECOVERY

ทีมวิจัยโครงการ RECOVERY ได้นำเสนอข้อมูลเบื้องต้นการวิจัยยา Dexamethasone ในผู้ป่วยโควิด-19 โครงการ RECOVERY เริ่มทำมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าร่วมโครงการประมาณ 11,500 ราย ทำใน 175 โรงพยาบาลของสหราชอาณาจักร โดยป่วยจะถูกสุ่มให้เข้ากลุ่มต่างๆ 5 กลุ่ม ในสัดส่วน 2:1 ระหว่างการรักษาตามอาการแบบมาตรฐานปกติกับรับการรักษาด้วยยาชนิดต่างๆตามแต่ที่โรงพยาบาลนั้นๆจะมี ในสัดส่วน 2:1 หรือ 2:1:1 หรือ 2:1:1:1 ได้แก่

กลุ่มที่ 1 การรักษาตามอาการแบบมาตรฐานปกติ ไม่มีการใช้ยาเพิ่มเติม    

กลุ่มที่ 2 lopinavir / ritonavir ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อ HIV

กลุ่มที่ 3 low dose dexamethasone ซึ่งเป็นกลุ่มยาสเตียรอยด์ที่สามารถช่วยลดการอับเสบ

กลุ่มที่ 4 hydroxychloroquine ใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อมาลาเรีย

กลุ่มที่ 5 azithromycin ซึ่งเป็นยาปฎิชีวนะชนิดหนึ่ง 

เมือ 5 มิถุนายน 2563 ทีมวิจัยโครงการ RECOVERY  ประกาศหยุดรับอาสาสมัครในการวิจัยยาในกลุ่มยาHydroxychloroquine เพราะไม่ได้ลดอัตราการตายของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่นอนโรงพยาบาลเมื่อเทียบกับรักษาตามอาการแบบมาตรฐานปกติ

และเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ได้หยุดรับผู้ป่วยในกลุ่มที่ได้รับยา Dexamethasone 6 mg ต่อวัน อาจจะโดยการรับประทานยา หรือฉีดเข้าเส้นเลือด เป็นเวลา 10 วัน โดยมีผู้ป่วยที่สุ่มได้รับยานี้จำนวนทั้งหมด 2104 คน เปรียบเทียบกับผู้ป่วยจำนวน 4321 คนที่สุ่มเข้ากลุ่มรักษาตามอาการ ซึ่งเป็นจำนวนอาสาสมัครที่พอสำหรับวิเคราะห์ว่ายานี้ใช้ในการรักษาได้ดีหรือไม่แล้ว

ในจำนวนผู้ที่สุ่มเข้ากลุ่มรักษาตามอาการ อัตราการตายที่วันที่ 28 พบมากสูงสุดในคนที่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจเป็นจำนวน 41% รองลงมาเป็นกลุ่มที่ต้องให้ออกซิเจนเป็นจำนวน 25% และอัตราการตายพบน้อยที่สุด จำนวน 13 % ในกลุ่มที่มีการหายใจค่อนข้างปกติไม่ต้องใช้วิธีใดๆส่งเสริมการหายใจ

ผลการวิจัยพบว่า Dexamethasone ช่วยลดอัตราการตายได้ 1 ใน 3 สำหรับผู้ป่วยที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ (rate ratio 0.65 [95% confidence interval 0.48-0.88]; p=0.0003)   ลดอัตราการตายได้ 1 ใน 5 สำหรับป่วยที่ได้รับออกซิเจนแบบอื่นๆ (0.80 [0.67 to 0.96]; p=0.0021) และการให้Dexamethasone ก็ไม่เกิดประโยชน์กับผู้ป่วยที่ไม่ต้องให้การส่งเสริมการหายใจ (1.22 [0.86 - 1.75; p=0.14) 

จากผลการวิจัยนี้ จะเห็นว่า การรักษาด้วยการใช้ยาDexamethasoneช่วยป้องกันผู้ป่วยเสียชีวิตได้ 1 คน จากผู้ป่วยที่ใช้เครื่องช่วยหายใจประมาณ 8 คน หรือให้ออกซิเจนแบบอื่นๆประมาณ 25 คน

สรุปได้ว่า ยาDexamethasone ซึ่งเป็นยาที่มีราคาถูก มีอยู่ทุกโรงพยาบาลและมีใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก สามารถลดอัตราการตายของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่นอนโรงพยาบาลจากอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงจากโรคโควิด-19ได้

สรุปมาจาก http://www.ox.ac.uk/news/2020-06-16-dexamethasone-reduces-death-hospitalised-patients-severe-respiratory-complications?fbclid=IwAR3mkKJTbXHNtoSaEVX8MpBduqKiZ5iKpv4-m4X_DTanebApmhUGR0_gH-o


วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2563

การวิจัยทางคลินิกระยะที่ 2 วัคซีน 2019-nCoV (mRNA-1273)

การวิจัยทางคลินิกระยะที่ 2 วัคซีน 2019-nCoV (mRNA-1273)  
โดยทั่วไปเมื่อการวิจัยทางคลินิกระยะที่ 1 เสร็จสิ้นและมีข้อมูลด้านความปลอดภัยเพียงพอ การวิจัยทางคลินิกระยะที่ 2 ที่จะมีความเข้มข้นและมีการควบคุมเป็นอย่างดีจึงเริ่มต้นขึ้น มี 80% ของการวิจัยยาใหม่ในระยะที่ 2 มักล้มเหลวเนื่องยาประสิทธิภาพของยาไม่ดีพอ การวิจัยทางคลินิกระยะที่ 2 มีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อประเมินประสิทธิภาพของยา ดูว่ายาทำงานได้ดีในสภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมหรือไม่ ประเมินความปลอดภัยของยาต่อ ค้นหาผลข้างเคียงและหาขนาดยาที่เหมาะสมและความถี่ในการให้ยา (เช่น หนึ่งหรือสองครั้งต่อวัน) จะทำในอาสาสมัครกลุ่มใหญ่ขึ้น ประมาณ 100-500 ใช้เวลาโดยประมาณ 6 เดือนถึง  1 ปี จึงอาจเสร็จ 
เนื่องจากภาวะวิกฤตจากการระบาดของโรคโควิด-19 และความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่ในปัจจุบัน เอื้ออำนวยให้การวิจัยมีความรวดเร็วขึ้น เป็นเรื่องน่ายินดีว่าผลการวิจัยเบื้องต้นในการวิจัยระยะที่ 1  แบบเปิด เพื่อศึกษาความปลอดภัยและฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน จากปริมาณวัคซีน 2019-nCoV (mRNA-1273) ที่แตกต่างกัน ในผู้ใหญ่สุขภาพดีและหญิงสุขภาพดีที่ไม่ตั้งครรภ์ อายุ 18-55 ปี ในจำนวนอาสาสมัครทั้งหมด 45 คน ที่ได้รับวัคซีนแบบฉีด 2 เข็มห่างกัน 28 วัน เปรียบเทียบกับการฉีดแบบ 3 เข็ม ที่เริ่มทำตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2563 พบว่า หลังการฉีดวัคซีนเพียงเข็มเดียว อาสาสมัครทั้งหมดมีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสแล้วในวันที่ 15 หลังการฉีดเข็มแรก  และอาสาสมัคร 8 คนที่ฉีดวัคซีน 2 เข็มก็มีภูมิคุ้มกันขึ้นเหมือนคนที่ติดเชื้อโควิด-19แล้ว  
ที่วันที่ 43 สองอาทิตย์หลังการฉีดเข็มที่ 2 อาสาสมัคร 15 คนที่ได้รับการฉีดวัคซีน 25 μg ก็มีภูมิคุ้มกันขึ้นเหมือนคนที่หายจากโรคโควิด-19 และ อาสาสมัคร 10 คนที่ได้การฉีดวัคซีน 100 μg ก็มีภูมิคุ้มกันขึ้นมากกว่าคนที่หายจากโรคโควิด-19อย่างมีนัยสำคัญ  
สรุปว่า 2019-nCoV (mRNA-1273) กระตุ้นภูมิได้ดี และมีผลข้างเคียงน้อย 
ทางบริษัทโมเดอร์นาได้ประกาศเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 ว่า องค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอนุมัติแบบเร่งด่วนให้ดำเนินการทดสอบวัคซีน 2019-nCoV (mRNA-1273) ระยะที่ 2 เพื่อประเมิน  ความปลอดภัย ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นจากการฉีดวัคซีน และดูฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีนที่ 2 ขนาดคือ 50 หรือ 100 ไมโครกรัมในผู้ใหญ่ที่มีอายุเท่ากับ 18 ปี หรือมากกว่า ได้แล้ว ตามข้อมูลที่ปรากฏในเวปไซด์ www.clinicaltrials.gov
แถมยังประกาศว่า จะทำการวิจัยวัคซีน 2019-nCoV (mRNA-1273) ระยะที่ 3 ในเดือนกรกฎาคม 2563 ในอาสาสมัคร 30,000 คน  
ชื่อโครงการแบบเป็นทางการ การวิจัยระยะที่ 2 a, แบบสุ่มปกปิดควบคุมด้วยยาหลอกยืนยันขนาดยา เพื่อประเมินความปลอดภัย ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น  และ ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันของวัคซีน mRNA-1273 SARS-COV-2 ในผู้ใหญ่อายุเท่ากับ 18 ปี หรือมากกว่า (A Phase 2a, Randomized, Observer-Blind, Placebo Controlled, Dose-Confirmation Study to Evaluate the Safety, Reactogenicity, and Immunogenicity of mRNA-1273 SARS-COV-2 Vaccine in Adults Aged 18 Years and Older) 
การวิจัยทางคลินิกระยะที่ 2 นี้ จะทำในอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี จำนวน 600 คน จะเป็นอาสาสมัครที่มีอายุ 18-55 ปี จำนวน 300 คน และอาสาสมัครที่มีอายุมากกว่า 55 ปี จำนวน 300 คน  
อาสาสมัครจะได้รับการสุ่มให้ได้รับวัคซีนขนาดใดขนาดหนึ่งใน 2 ขนาด คือ 50 μg หรือ 100 μg  หรือยาหลอกซึ่งเป็นน้ำเกลือที่ฉีดเข้าร่างกายคนได้ (saline) โดยฉีดเข็มที่ 1และ 2 ห่างกัน 28 วัน 2 ครั้ง  อาสาสมัครทั้งหมดจะถูกติดตามระดับภูมิคุ้มกันเป็นเวลา 1 ปี  
โครงการนี้ได้เริ่มทำวิจัยเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2563 คิดว่าจะเสร็จประมาณ สิงหาคม 2564 โดยแบ่งอาสาสมัครดังนี้  
กลุ่มที่ 1 อาสาสมัครอายุ 18-54 ปี จะได้รับวัคซีน mRNA-1273 ขนาด 50 mcg หรือ ยาหลอก (Saline)
             อาสาสมัครอายุมากกว่า 55 ปี จะได้รับวัคซีน mRNA-1273 ขนาด 50 mcg หรือ ยาหลอก (Saline)
กลุ่มที่ 2 อาสาสมัครอายุ 18-54 ปี จะได้รับวัคซีน mRNA-1273 100 mcg หรือ ยาหลอก (Saline)
             อาสาสมัครอายุมากกว่า 55 ปี จะได้รับวัคซีน mRNA-1273 ขนาด 100 mcg หรือ ยาหลอก (Saline) 
การประเมินผลลัพธ์หลัก
1.  เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เฉพาะที่และทุกระบบในร่างกายที่มีข้อมูลบันทึกอยู่ในโครงร่างการวิจัยและคู่มือผู้วิจัย (Solicited AEs) ที่เกิดขึ้นในกรอบเวลา 7 วันหลังการฉีดวัคซีน
2.  เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์อื่นๆที่พบ (Unsolicited AEs) ในกรอบเวลา 28 วันหลังการฉีดวัคซีน
3.  เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ทางการแพทย์ของโรคเรื้อรังที่มีอยู่เดิมแล้วกำเริบรุนแรงขึ้น (Medically-attended adverse events :MAAEs)ในกรอบเวลาตั้งแต่เดือนที่ 0 ถึง เดือนที่ 13
4.  เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ร้ายแรง (Serious adverse events :SAEs)ในกรอบเวลาตั้งแต่เดือนที่ 0 ถึง เดือนที่ 13
5.  การเปลี่ยนแปลงค่าทางห้องปฏิบัติการด้านความปลอดภัยทางคลินิก (clinical safety laboratory)ในกลุ่มที่ 2 จากค่าพื้นฐาน (baseline) ตลอดระยะเวลา 1 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนครั้งสุดท้าย
6.  จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมโครงการที่ประเมินพบมีความผิดปกติของความดันโลหิต อุณหภูมิร่างกาย อัตราการเต้นของหัวใจ หรืออัตราการหายใจ ตลอดระยะเวลา 1 ปีหลังจากฉีดวัคซีนครั้งสุดท้าย
7.  จำนวนและร้อยละของผู้เข้าร่วมโครงการที่ประเมินพบมีความผิดปกติจากการตรวจร่างกาย ตลอดระยะเวลา 1 ปีหลังจากฉีดวัคซีนครั้งสุดท้าย
8.  ประเมินภูมิคุ้มกันของmRNA-1273 จากการดู titer ของ SARS-CoV-2-specific binding antibody (bAb) โดยวิธี ELISA ตลอดระยะเวลา 1 ปีหลังจากฉีดวัคซีนครั้งสุดท้าย 
การประเมินผลลัพธ์รอง
1.    ค่า titer ของSARS-CoV-2-specific neutralizing antibody (nAb)ตลอดระยะเวลา 1 ปีหลังจากฉีดวัคซีนครั้งสุดท้าย
2.    ค่า Seroconversion ที่วัดจากการเพิ่มขึ้นของ SARS-CoV-2-specific neutralizing antibody (nAb) titer ตลอดระยะเวลา 1 ปีหลังจากฉีดวัคซีนครั้งสุดท้าย 
คุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงกา
เกณฑ์คัดเลือกอาสาสมัครเข้าร่วมโครงการ อาสาสมัครที่เข้าร่วมโครงการนี้ต้องมีคุณสมบัติตามที่กำหนดระหว่างช่วงที่คัดกรองและในวันที่ 1 เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น
1.    ชาย หรือ หญิง อายุ 18 ปีหรือมากกว่าในวันที่ยินยอมเข้าร่วมโครงการ (วันนัดคัดกรองวันที่ 0)
2.    เข้าใจและตกลงจะปฏิบัติตามกระบวนการวิจัยและให้ความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษร
3.    จากการประเมินของผู้วิจัย พบว่ามีสุภาพดีและสามารถปฏิบัติตามกระบวนการวิจัยได้
4.    ค่าดัชนีมวลกาย (Body mass index: BMI) 18 kg/m2 ถึง 30 kg/m2 ในวันนัดคัดกรองวันที่ 0
5.    หญิงที่ไม่มีโอกาสตั้งครรภ์ (non-childbearing potential) อาจจะเข้าร่วมโครงการได้
หญิงที่ไม่มีโอกาสตั้งครรภ์หมายถึง หญิงที่ทำหมันโดยการผ่าตัด (มีประวัติตัดท่อนำไข่ออกตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้างตัดมดลูกหรือหญิงที่หมดประจำเดือน (ไม่มีประจำเดือนมาเท่ากับ หรือมากกว่า 12 เดือนติดต่อกันก่อนคัดกรองวันที่ 0 โดยไม่มีสาเหตุทางการแพทย์อื่นใดอาจจะมีการวัดระดับ follicle-stimulating hormone (FSH)ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้วิจัยเพื่อยืนยันสถานการณ์หมดประจำเดือน (postmenopausal status)
6.    หญิงที่มีโอกาสตั้งครรภ์อาจจะเข้าร่วมโครงการได้ หากมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
·      มีผลการตรวจการตั้งครรภ์เป็นลบ ที่การคัดกรองวันที่ 0 และวันที่ฉีดวัคซีนครั้งแรก (วันที่ 1)
·      มีการคุมกำเนิดที่เหมาะสม หรือยกเว้นกิจกรรมทางเพศทั้งหมดที่จะทำให้มีโอกาศตั้งครรภ์ได้เป็นเวลาอย่างน้อย 28 วันก่อนได้รับวัคซีนเข็มแรก (วันที่ 1)
·        ตกลงที่จะมีการคุมกำเนิดที่เหมาะสมตลอดระยะเวลา 3 เดือนหลังจากฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 (วันที่ 29)
·      ไม่ได้กำลังให้นมบุตรอยู่ในขณะนี้

การคุมกำเนิดที่เหมาะสมสำหรับผู้หญิง หมายถึง การใช้วิธีการคุมกำเนิดที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยา (Food and Drug Administration: FDA)อย่างสม่ำเสมอตามที่กำหนดไว้ในใบกำกับยา ตัวอย่างเช่น
·         โดยวิธีขวางกั้น (Barrier method) เช่น การใช้ถุงยางอนามัย(condoms) หมวกยางกั้นช่องคลอด (diaphragm) หมวกยางครอบปากมดลูก (cervical cap) ร่วมกับยาฆ่าอสุจิ (spermicide)
·         ห่วงอนามัย (Intrauterine device)
·         ยาคุมกำเนิด โดยการกินยาเม็ด ใช้แผ่นปะ ฉีดยาคุมกำเนิดทั้งแบบใต้ผิวหนังหรือเข้ากล้ามเนื้อ
·         การทำหมันชายที่เป็นคู่สมรส (คู่เพศสัมพันธ์ที่มีเพียงคนเดียวของผู้เข้าร่วมโครงการเพศหญิงก่อนเข้าร่วมโครงการ

หมายเหตุ ห้ามไม่ให้ใช้วิธีการคุมกำเนิดแบบงดการมีเพศสัมพันธ์เป็นช่วงๆ เช่น การดูปฏิทิน การนับวันไข่ตก การวัดอุณหภูมิ การหลั่งนอกช่องคลอด เป็นต้น
7. หญิงวัยเจริญพันธ์ต้องมีผลตรวจการตั้งครรภ์จากปัสสาวะ หรือเลือด เป็นลบภายใน 24 ชั่วโมงก่อนได้รับวัคซีนแต่ละครั้ง
8.อาสาสมัครชายที่มีเพศสัมพันธ์กับคู่เพศสัมพันธ์ที่มีโอกาสตั้งครรภ์ได้ต้องตกลงที่จะคุมกำเนิดอย่างเหมาะสมนับตั้งแต่วันที่ได้รับวัคซีนครั้งที่ 1 และตลอดระยะเวลา 3 เดือนหลังได้รับวัคซีนครั้งสุดท้าย 
การคุมกำเนิดที่เหมาะสมสำหรับอาสาสมัครชาย หมายถึง
·         มีคู่เพศสัมพันธ์เพียงคนเดียวที่ใช้ห่วงอนามัย หรือการคุมกำเนิดที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
·         ใช้วิธีขวางกั้น (Barrier method) และยาฆ่าอสุจิ (spermicide)
·         มีประวัติผ่าตัดทำหมันถาวร

·         อาสาสมัครชายที่คู่เพศสัมพันธ์ตั้งครรภ์ก่อนการคัดกรองสามารถเข้าร่วมโครงการได้ 
เกณฑ์การคัดออก อาสาสมัครที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ต่อไปนี้ในวันนัดคัดกรอง (วันที่ 0หรือวันที่ 1เว้นแต่จะระบุไว้เป็นอย่างอื่น จะถูกคัดออกจากการเข้าร่วมโครงการ
1. มีประวัติติดเชื้อ SARS-CoV-2 หรือสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ SARS-CoV-2 หรือโควิด-19
2. เดินทางออกนอกประเทศสหรัฐ ใน 28 วัน ก่อนวันนัดคัดกรอง (วันที่ 0)
3. ตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร
4. มีความเจ็บป่วยรุนแรง หรือมีไข้ 24 ชั่วโมงก่อน หรือ ก่อนวันนัดคัดกรอง (วันที่ 0
ไข้ หมายถึง มีอุณหภูมิร่างกายที่วัดทางปาก ≥ 38.0 °C/ 100.4 °F อาสาสมัครที่มีเกณฑ์นี้อาจนัดให้มาใหม่หากยังอยู่ในกรอบเวลาที่กำหนด (window period) อาสาสมัครเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ไม่มีไข้สามารถเข้าร่วมโครงการได้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้วิจัย
5. เคยได้รับวัคซีนวิจัย CoV (ได้แก่, SARS-CoV-2, SARS-CoV, MERS-CoV)มาก่อน
6. กำลังรักษาด้วย ยาวิจัยเพื่อป้องกันโรคโควิด-19
7. มีสภาวะทางการแพทย์ สภาพทางจิต หรืออาชีพการงานที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อการเข้าร่วมโครงการ หรือรบกวนการประเมินด้านความปลอดภัย หรือการแปลผล ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้วิจัย
8.    เป็นผู้ปฏิบัติงานด้านการดูแลสุขภาพ หรือ เป็นสมาชิกในทีมปฏิบัติการฉุกเฉิน
9.    กำลังใช้สารสูดดม ได้แก่ ยาสูบ กัญชา บุหรี่ไฟฟ้า เป็นต้น
10. มีประวัติติดบุหรี่ (≥ 1 มวนต่อวันภายใน 1 ปีก่อนนัดคัดกรอง (วันที่ 0)
11. มีประวัติใช้สารที่ผิดกฎหมาย หรือติดเหล้า ใน 2 ปีที่ผ่านมา ยกเว้นการใช้กัญชาซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมายในอดีตในรัฐที่อาสาสมัครอาศัยอยู่ แต่ในปัจจุบันที่วันนัดคัดกรองกัญชาเป็นสิ่งถูกกฎหมาย
12. มีประวัติความดันโลหิตสูง หรือ systolic blood pressure > 150 mm Hg ในอาสาสมัครกลุ่มที่ 1 (≥ 18 to < 55 years old) หรือ systolic blood pressure > 160 mm Hg ในอาสาสมัครกลุ่มที่ 2 (≥ 55 years old) ที่วันนัดคัดกรอง (วันที่ 0)
13. มีประวัติความดันโลหิตต่ำ หรือ systolic blood pressure < 85 mm Hg ที่วันนัดคัดกรอง (วันที่ 0)
14. เป็นเบาหวาน
15. ได้รับการวินิจฉัยว่า เป็นโรคปอดเรื้อรัง ได้แก่ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (chronic obstructive pulmonary disease) โรคหอบหืด (asthma)
16. โรคระบบหัวใจและหลอดเลือด
17. อาศัยอยู่ในบ้านพักคนชรา
18. ผลทางการตรวจทางห้องปฏิบัติการด้านความปลอดภัยทางคลินิก (clinical safety laboratory testing) ระดับที่ 1 หรือมีความเป็นพิษสูง ที่วันนัดคัดกรอง (วันที่ 0)
19. ได้รับการวินิจฉัยทั้งปัจจุบัน หรือในอดีตว่าเป็นโรคที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้นกัน
20. ได้รับยาที่ทำให้กดภูมิคุ้มกัน หรือยากลุ่ม immune-modifying drugs ติดต่อเป็นประจำรวมทั้งหมด > 14 วัน ใน 6 เดือนก่อนวันนัดคัดกรอง (วันที่ 0) (สำหรับ corticosteroids ≥ 20 mg/day ของ prednisone equivalent อนุญาตให้ใช้ยาสเตียรอยด์ ชนิดทาได้ หากไม่ได้ใช้ภายใน 14 วันก่อนวันนัดคัดกรอง (วันที่ 0)
21. คาดว่าอาจต้องใช้ยารักษาที่ทำให้กดภูมิคุ้มกันในระหว่างร่วมโครงการ
22.   พบผลบวกserology ของ hepatitis B virus surface antigen, hepatitis C virus antibody, หรือ human immunodeficiency virus (HIV) type 1 หรือ 2 antibodies ที่ วันนัดคัดกรอง (วันที่ 0)
23. มีประวัติการแพ้ มีผื่นคัน หรือ อาการไม่พึงประสงค์ที่สำคัญอื่นๆหลังจากได้รับวัคซีน
24. ภาวะเลือดออกผิดปกติซึ่งเป็นข้อห้ามในการเจาะเลือด หรือฉีดยาเข้ากล้าม
25. ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งใน 10 ปีที่ผ่านมา รวมถึง non-melanoma skin cancer
26. ได้รับ หรือวางแผนที่จะได้รับวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ≤ 28 วันก่อนได้รับวัคซีนเข็มที่ 1 (วันที่ 1หรือวางแผนที่จะได้รับวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนแล้ว ≤ 28 วันก่อนหรือหลังฉีดวัคซีนวิจัย สามารถฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว มากกว่า 14 วันก่อนหรือหลังฉีดวัคซีนวิจัยได้
27. ได้รับ immunoglobulin หรือ ผลิตภัณฑ์จากเลือด ภายในช่วง 3 เดือนก่อนวันนัดคัดกรอง (วันที่ 0) หรือมีแผนที่จะรับเวลาใดๆขณะอยู่ในโครงการ
28. บริจาคโลหิต ≥ 450 mL ภายใน 28 วันก่อนวันนัดคัดกรอง (วันที่ 0) หรือมีแผนที่จะบริจาคโลหิตเวลาใดๆขณะอยู่ในโครงการ
29. เข้าร่วมการวิจัยทางคลินิกอื่น ภายใน 28 วันก่อนวันนัดคัดกรอง (วันที่ 0) หรือมีแผนที่จะเข้าร่วมวิจัยทางคลินิกที่เวลาใดๆขณะอยู่ในโครงการ
30. มีสมาชิกในครอบครัว หรือสมาชิกในบ้านเป็นเจ้าหน้าที่วิจัย
 ถ้าทราบผลการวิจัยเมื่อไหร่จะมาแจ้งให้ทราบต่อไป 
ข้อมูลโครงการนี้เอามาจากการขึ้นทะเบียนวิจัยในwebsite ที่ https://clinicaltrials.gov/ct2/results?cond=mRNA-1273&term=&cntry=&state=&city=&dist= 

บทความใหม่

ชุดตรวจโรคด้วยตัวเองที่บ้าน Home Use Test

ชุดตรวจโรคด้วยตัวเองที่บ้าน Home Use Test ปัจจุบันนี้ชุดตรวจโรคด้วยตัวเองที่บ้านมีใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถอำนวยความสะดวกให้เราได้ตรวจโรค...

บทความแนะนำ