CRC Café : ตุลาคม 2019

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2562

เงินๆทองๆ (NEST EGG)

เงินๆทองๆ(NEST EGG)

ช่วงนี้มีข่าวคนฆ่าตัวตายหนีหนี้กันแทบทุกวัน และเมื่อมีคนมาถามเรื่องการเล่นหุ้น การเก็บเงิน การลงทุน ทำให้มานั่งมาทบทวนเรื่องการจัดการเรื่องเงินๆทองๆ บอกตามตรงเป็นคนไม่มีแผนทางการเงินที่ดีนัก แต่ตั้งแต่จำความได้เมื่อทำงานได้เงินครั้งแรกในชีวิต คือเมื่อตอนประมาณช่วงปิดเทอม  ป.7 กำลังเริ่มเกเรพ่อเอาไปฝากทำงานในโรงงานใกล้บ้าน ที่โรงงานคนงานที่ทำงานมีหลายแบบ กลุ่มคนงานเด็กมาจากหมู่บ้านต่างจังหวัดที่พ่อแม่ได้เงินก้อนใหญ่ไปแล้ว เด็กก็มาทำงานและกินอยู่ที่บ้านเจ้าของโรงงาน กลุ่มคนงานอิสระที่บ้านอยู่แถวโรงงาน รายได้คิดจากปริมาณงานที่ทำได้ ทำงานอาทิตย์ละ 6 วันทุกวันเสาร์ต้องล้างส้วมและทำความสะอาดโรงงาน ถึงแม้จะเป็นเด็กฝากก็ต้องทำงานเหมือนคนงานอื่นๆ ล้างส้วมครั้งแรกในชีวิตอยู่บ้านไม่เคยทำอะไรมีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียว แต่ก็ได้รับความเอ็นดูจากเจ๊หัวหน้าคนงาน เจ๊เป็นลูกคนจีนที่ขยันและเป็นต้นแบบที่ได้เรียนรู้การบริหารจัดการคนและงาน การที่พ่อส่งไปทำงานที่นี่ทำให้พบว่า เราเป็นเด็กที่มีโอกาสกว่าเด็กที่มาจากต่างจังหวัดซึ่งต้องทำงานหนักและเงินเดือนน้อย ทำให้เกิดแรงบันดาลใจมีความมานะในการเรียนมากขึ้น เงินที่ได้เดือนแรกจำได้ว่า เอาไปซื้อตุ้มหูทองคำน่าจะหนึ่งสลึง เวลาทำงานเก็บเงินได้ก็จะเอาไปซื้อทองฝากแม่ไว้ ทุกปีเมื่อหยุดเทอมใหญ่ไปทำงานที่โรงงานนี้ทุกปี จนกระทั่งเข้ามหาวิทยาลัย

การเก็บเงินในช่วงแรกของการทำงานเป็นการซื้อทอง และเมื่อต้องการใช้เงินเช่น ซื้อบ้านใหม่ ซ่อมบ้าน ซื้อหรือซ่อมรถ ก็จะขายทอง ส่วนตัวคิดว่าการซื้อบ้านเป็นการเก็บเงิน การผ่อนบ้านไม่ใช่เรื่องเสียหาย แต่ควรผ่อนให้หมดเร็วที่สุดเพื่อลดภาระหนี้ ของใช้ของตกแต่งภายในบ้านควรใช้ของดีทนทาน เช่น เฟอร์นิเจอร์ไม้จริงพบว่าดีมากโดยเฉพาะเมื่อเกิดน้ำท่วมเฟอร์นิเจอร์ใหญ่จะเห็นได้ว่าเฟอร์นิเจอร์ไม้ยังคงอยู่ โดยเฉพาะไม้สักปลวกก็ไม่กินเนื้อไม้ได้ กินแต่หนังสือ ไม้นี้คิดว่าน่าจะเก็บได้เป็นร้อยปี ยิ่งเก่ายิ่งสวย โชคดีที่ชอบซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้สัก การซื้อรถไม่ใช่การลงทุน เป็นของที่ซื้อเพื่อใช้สอยดังนั้นไม่ควรซื้อรถที่มีราคาแพงเกินความจำเป็น ไม่ต้องแต่งเติมเกินความจำเป็น เอาแค่มีล้อและองค์ประกอบพื้นฐาน ราคาเหมาะสมหาที่ซ่อมและอะไหล่ง่าย เสียที่ไหนก็มีคนซ่อมเป็น ใช้ซัก 8 ปีก็ซื้อใหม่

เก็บเงินในออมทรัพย์เท่าที่ต้องใช้สอยและมีใช้จ่ายเมื่อยามจำเป็นเร่งด่วน เช่น หากป่วยไข้ไม่สบาย ต้องซ่อมรถ ซ่อมบ้าน เป็นต้น 

เงินส่วนหนึ่งที่เป็นเงินเย็น ให้เงินไปทำงานโดยการลงทุน แต่ต้องย้ำด้วยว่าการลงทุนมีความเสี่ยง เสี่ยงมากจนอาจหมดตัว เงินที่จะลงทุนจำนวนนี้ควรเป็นเงินที่เป็นส่วนนอกเหนือจากที่ซื้อทองและมีบ้านและรถแล้ว ห้ามกู้มาลงทุนเด็ดขาด การลงทุนต้องทำหลายๆแบบ เช่น ซื้อบ้าน ซื้อทอง ซื้อกองทุน ซื้อประกันสะสมทรัพย์ ซื้อหุ้น 

ตลาดหุ้นมีความผันผวนมากต้อง ดูสภาพการณ์ของเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ทั้งในระดับประเทศและสากล รวมทั้งการปล่อยข่าวต่างๆ ต้องจับลู่ทางว่าตอนนี้เขาฮิตอะไรกัน นโยบายรัฐบาลว่าอย่างไร  บริษัทนั้นมีแนวโน้มว่าจะเจ๊งหรือว่าเติบโต มีปันผลไหม มีเดือนอะไร และต้องบันทึกรายได้จากการลงทุน

ไม่โลภและอย่าเชื่อใครว่า เขาจะทำให้เงินเราโต การลงทุนต้องลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือธนาคารที่มีความมั่นคง ไม่ใช่จากบุคคล

เมื่อประเมินว่า เราต้องเสียภาษีในแต่ละปีเท่าไหร่ จะทำอะไรที่นำมาลดหย่อนภาษีได้บ้างก็ทำไป  การทำประกันสะสมทรัพย์ทำได้นิดหน่อยทำเพื่อลดหย่อนภาษี ก่อนทำควรประเมินก่อนว่าเรามีปัญญาส่งให้ครบไหม ไม่ควรทำระยะยาว เพราะหากสถานะรายได้เปลี่ยนแปลงเราส่งประกันไม่ไหวและต้องยกเลิกการคันจะเสียประโยชน์

ต้องยึดในหลักการไม่ยืมเงินใคร โดยเฉพาะเงินกู้นอกระบบ พวกลิสซิ่ง ไม่รูดบัตร หรือใช้เงินโดยไม่คิด

ไม่ให้ใครยืมเงิน ไม่ไปค้ำประกันให้ใคร รักกันแค่ไหน เรื่องเหล่านี้จะทำให้เราเสียเพื่อน เสียความรู้สึก และเสียใจ
ภายหลัง ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา เพราะเวลาที่เดือดร้อนไม่มีใครช่วยเราหรอก

ไม่ต้องรวยมาก แค่มีเงินทองใช้สอยไม่ขาดมือ ไม่เป็นหนี้ใคร ไม่ให้ใครเป็นหนี้เรา

หลักการเหล่านี้บางคนอาจว่า ว่าเป็นคนเห็นแก่ตัว ใช่เห็นแก่ตัวเพราะไม่อยากให้ตัวเองเดือดร้อนจ้า
*********************************************************************************
  
  

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2562

Counselor ผู้ให้คำปรึกษา


ผู้ให้คำปรึกษา (Counselor-co)

การให้คำปรึกษา (Counseling) เป็นกระบวนการที่เมื่อบุคคลมีปัญหา หาทางออกไม่เจอ บุคคลนั้นอาจต้องการใครซักคนที่สามารถพูดคุย อย่างน้อยก็เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ หากไม่ได้รับการพูดคุยปรึกษาที่เหมาะสม อาจท้อแท้ หาทางออกไม่เจอ สิ้นหวัง จนอาจคิดฆ่าตัวตายได้ ดังนั้น การมีทักษะในการให้คำปรึกษาจึงเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกคน

การให้คำปรึกษา เป็นกระบวนการสื่อสาร ระหว่างผู้ให้คำปรึกษา (Counselor-co) และ ผู้รับคำปรึกษา (Client-cl) โดยการพบปะพูดคุย (face to face) ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อ
1.     เพื่อให้ข้อมูล (Provide knowledge/information)
2.     เพื่องานป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ (Prevention and health promotion)
3.     เพื่อการรักษา (Intervention/treatment)
4.     เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Behavior change)
5.     สร้างเสริมศักยภาพที่มีอยู่ในแต่ละบุคคล (Empowerment)
6.     เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ (Rehabilitation)
7.     เพื่อบูรณาการ (Integration) ผสมผสานหลายๆอย่าง

สำหรับผู้ให้คำปรึกษา (Counselor-co) การเตรียมความพร้อมในการทำ Counseling
1.     ต้องเริ่มจากตัวบุคคล-บุคลากร ผู้ให้คำปรึกษา (Counselor-co)
1.1  ต้องมีความรู้ความเข้าใจในหัวข้อที่จะให้คำปรึกษา (Knowledge base) หรือมีแหล่งความรู้ (resource)
1.2  มีศักยภาพพื้นฐาน (Competency base) ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขพฤติกรรม (Change behavior) และ การปรับเปลี่ยนความเข้าใจ (Change cognitive) ของแต่ละบุคคลที่เข้ามารับคำปรึกษา
1.3  มีความชำนาญพื้นฐาน (Skill base) ที่ได้จากการฝึกหัดและเรียนรู้จากประสบการณ์ ทำมากก็มีความชำนาญมาก
2.     เนื้องาน counseling – รู้แนวคิดหลักของการให้คำปรึกษา (key concept) เช่น HIV testing counseling ก็ต้องรู้เรื่อง โรค วิธีการตรวจ ผลการตรวจ ผลได้ผลเสียที่จะเกิดเมื่อผลการตรวจออกมา เป็นต้น
3.     การเข้าใจ clients – มีความเข้าใจภูมิหลัง วัยวุฒิ ศักยภาพในการแก้ปัญหาและความต้องการของผู้รับคำปรึกษา ไม่มีอคติ (ทำตัวเป็นกลาง neutral ไม่ตัดสิน) 

ข้อควรระวังสำหรับผู้ให้คำปรึกษา
            §  ควรแต่งกายสุภาพ ไม่ลำลองจนเกินไปซึ่งเป็นการเสียมารยาทและอาจเป็นการไม่ให้เกียรติผู้รับบริการ
§  ไม่ควรสวมเครื่องประดับเกินความจำเป็น ไม่ทาสีเล็บมือไม่แต่งหน้าจัดเพื่อไม่ให้เกิดการดึงความสนใจ ไม่เกิดการเปรียบเทียบ ไม่สร้างความแตกต่าง สร้างความรู้สึกกลางๆระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ
§  ควรปิดมือถือก่อนทำงานทุกครั้ง อย่างน้อยก็ปิดเสียง และควรสังเกตหากผู้รับบริการวางโทรศัพท์มือถือของเขาบนโต๊ะเพราะอาจมีการรับบริการอัดเสียงการสนทนาโดยเราไม่รู้ตัว
§  ไม่ควรเล่น smart phone ระหว่างให้คำปรึกษา ควรให้ความสนใจกับการสนทนากับผู้รับคำปรึกษา
§  มี eye contact กับผู้รับคำปรึกษา ไม่ใช่มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาจดบันทึก หรือใส่ข้อมูลใน computer
§  นำเทคนิคกุญแจ  11 ดอกของท่านอาจารย์ทิพาวดี เอมะวรรธนะ (11 Keys for counseling) มาใช้ตลอดการสนทนา



§  ใช้ความชำนาญในการติดต่อสื่อสาร (Communication skill)
-        ระมัดระวังภาษากาย เข่น การชักสีหน้า มองลอดแว่น การถอนหายใจ นั่งกอดอก นั่งไขว้ห้าง กระดิกเท้า กดปากกาเล่น พูดโดยไม่มองหน้าหรือสบสายตา แต่ก็ไม่ใช้สายตาบังคับหรือจิกตา
-        หลีกเลี่ยงคำว่า ทำไมเพราะผู้รับคำปรึกษาอาจไม่สะดวกใจ หรือ อึดอัด
-        ควรใช้คำถามปลายเปิด (Open ended question) เพื่อผู้รับคำปรึกษา จะได้บอกความรู้สึก หรือ พูดคุยได้มากขึ้น

ผู้ให้คำปรึกษา ต้องรับฟังอย่างไม่มีอคติ ผู้รับคำปรึกษาควรเป็นผู้คิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง เราแค่รับฟังให้เขาได้พูด จนเข้าใจถึงเหตุปัจจุัยที่ทำให้เกิดปัญหานั้นๆ เขาอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้น เขาคิดว่าควรแก้อย่างไร แล้วให้ลองกลับไปทำ เมือกลับมาคุยครั้งหน้าก็มาดูกันว่าปัญหานั้นๆแก้ได้ไหม ดีขึ้นไหม ถ้าไม่ได้จะทำอย่างไรต่อ
หลักการทางศาสนาพุทธ อริยสัจ 4 นับว่าเป็นหลักการที่ดีมากในการแก้ปัญหาต่างๆอย่างดี 

  • ทุกข์ ปัญหาของผู้รับคำปรึกษามีอะไร 
  • สมุหทัย สาเหตุของปัญหา เกิดจากอะไร
  • นิโรธ ปัญหาทุกปัญหาแก้ได้ แต่จะแก้อย่างไรดี หาทางแก้ไข
  • มรรค นำแนวทางที่คิดได้ ว่าจะทำอย่างไร ไปทำ 

ทั้งหมดนี้ผู้รับคำปรึกษาต้องเป็นผู้คิดเอง ทำเอง

บทความใหม่

ชุดตรวจโรคด้วยตัวเองที่บ้าน Home Use Test

ชุดตรวจโรคด้วยตัวเองที่บ้าน Home Use Test ปัจจุบันนี้ชุดตรวจโรคด้วยตัวเองที่บ้านมีใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถอำนวยความสะดวกให้เราได้ตรวจโรค...

บทความแนะนำ