ผู้ให้คำปรึกษา
(Counselor-co)
การให้คำปรึกษา
(Counseling)
เป็นกระบวนการที่เมื่อบุคคลมีปัญหา หาทางออกไม่เจอ
บุคคลนั้นอาจต้องการใครซักคนที่สามารถพูดคุย
อย่างน้อยก็เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจ หากไม่ได้รับการพูดคุยปรึกษาที่เหมาะสม
อาจท้อแท้ หาทางออกไม่เจอ สิ้นหวัง จนอาจคิดฆ่าตัวตายได้ ดังนั้น
การมีทักษะในการให้คำปรึกษาจึงเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดประโยชน์กับทุกคน
การให้คำปรึกษา
เป็นกระบวนการสื่อสาร ระหว่างผู้ให้คำปรึกษา (Counselor-co) และ ผู้รับคำปรึกษา (Client-cl) โดยการพบปะพูดคุย (face
to face) ซึ่งเป็นวิธีการที่ดีที่สุด เพื่อ
1.
เพื่อให้ข้อมูล (Provide knowledge/information)
2.
เพื่องานป้องกันและส่งเสริมสุขภาพ (Prevention and
health promotion)
3.
เพื่อการรักษา (Intervention/treatment)
4.
เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Behavior change)
5.
สร้างเสริมศักยภาพที่มีอยู่ในแต่ละบุคคล (Empowerment)
6.
เพื่อฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ (Rehabilitation)
7.
เพื่อบูรณาการ (Integration) ผสมผสานหลายๆอย่าง
สำหรับผู้ให้คำปรึกษา
(Counselor-co) การเตรียมความพร้อมในการทำ Counseling
1.
ต้องเริ่มจากตัวบุคคล-บุคลากร ผู้ให้คำปรึกษา (Counselor-co)
1.1
ต้องมีความรู้ความเข้าใจในหัวข้อที่จะให้คำปรึกษา (Knowledge base) หรือมีแหล่งความรู้ (resource)
1.2
มีศักยภาพพื้นฐาน (Competency base) ในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขพฤติกรรม (Change behavior) และ
การปรับเปลี่ยนความเข้าใจ (Change cognitive) ของแต่ละบุคคลที่เข้ามารับคำปรึกษา
1.3
มีความชำนาญพื้นฐาน (Skill base) ที่ได้จากการฝึกหัดและเรียนรู้จากประสบการณ์ ทำมากก็มีความชำนาญมาก
2.
เนื้องาน counseling – รู้แนวคิดหลักของการให้คำปรึกษา
(key concept) เช่น HIV testing counseling ก็ต้องรู้เรื่อง โรค วิธีการตรวจ ผลการตรวจ ผลได้ผลเสียที่จะเกิดเมื่อผลการตรวจออกมา
เป็นต้น
3.
การเข้าใจ clients – มีความเข้าใจภูมิหลัง
วัยวุฒิ ศักยภาพในการแก้ปัญหาและความต้องการของผู้รับคำปรึกษา ไม่มีอคติ (ทำตัวเป็นกลาง neutral ไม่ตัดสิน)
ข้อควรระวังสำหรับผู้ให้คำปรึกษา
§ ควรแต่งกายสุภาพ
ไม่ลำลองจนเกินไปซึ่งเป็นการเสียมารยาทและอาจเป็นการไม่ให้เกียรติผู้รับบริการ
§ ไม่ควรสวมเครื่องประดับเกินความจำเป็น
ไม่ทาสีเล็บมือไม่แต่งหน้าจัดเพื่อไม่ให้เกิดการดึงความสนใจ ไม่เกิดการเปรียบเทียบ
ไม่สร้างความแตกต่าง สร้างความรู้สึกกลางๆระหว่างผู้ให้และผู้รับบริการ
§ ควรปิดมือถือก่อนทำงานทุกครั้ง
อย่างน้อยก็ปิดเสียง และควรสังเกตหากผู้รับบริการวางโทรศัพท์มือถือของเขาบนโต๊ะเพราะอาจมีการรับบริการอัดเสียงการสนทนาโดยเราไม่รู้ตัว
§ ไม่ควรเล่น smart phone ระหว่างให้คำปรึกษา ควรให้ความสนใจกับการสนทนากับผู้รับคำปรึกษา
§ มี eye contact กับผู้รับคำปรึกษา ไม่ใช่มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตาจดบันทึก หรือใส่ข้อมูลใน computer
§ ใช้ความชำนาญในการติดต่อสื่อสาร
(Communication
skill)
- ระมัดระวังภาษากาย เข่น การชักสีหน้า
มองลอดแว่น การถอนหายใจ นั่งกอดอก นั่งไขว้ห้าง กระดิกเท้า กดปากกาเล่น
พูดโดยไม่มองหน้าหรือสบสายตา แต่ก็ไม่ใช้สายตาบังคับหรือจิกตา
- หลีกเลี่ยงคำว่า “ทำไม”เพราะผู้รับคำปรึกษาอาจไม่สะดวกใจ หรือ อึดอัด
- ควรใช้คำถามปลายเปิด (Open ended
question) เพื่อผู้รับคำปรึกษา จะได้บอกความรู้สึก หรือ
พูดคุยได้มากขึ้น
ผู้ให้คำปรึกษา ต้องรับฟังอย่างไม่มีอคติ ผู้รับคำปรึกษาควรเป็นผู้คิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง เราแค่รับฟังให้เขาได้พูด จนเข้าใจถึงเหตุปัจจุัยที่ทำให้เกิดปัญหานั้นๆ เขาอยู่ในสิ่งแวดล้อมนั้น เขาคิดว่าควรแก้อย่างไร แล้วให้ลองกลับไปทำ เมือกลับมาคุยครั้งหน้าก็มาดูกันว่าปัญหานั้นๆแก้ได้ไหม ดีขึ้นไหม ถ้าไม่ได้จะทำอย่างไรต่อ
หลักการทางศาสนาพุทธ อริยสัจ 4 นับว่าเป็นหลักการที่ดีมากในการแก้ปัญหาต่างๆอย่างดี
- ทุกข์ ปัญหาของผู้รับคำปรึกษามีอะไร
- สมุหทัย สาเหตุของปัญหา เกิดจากอะไร
- นิโรธ ปัญหาทุกปัญหาแก้ได้ แต่จะแก้อย่างไรดี หาทางแก้ไข
- มรรค นำแนวทางที่คิดได้ ว่าจะทำอย่างไร ไปทำ
ทั้งหมดนี้ผู้รับคำปรึกษาต้องเป็นผู้คิดเอง ทำเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น