CRC Café : Consent process for COVID-19 study กระบวนการขอความยินยอมโรคโควิค-19

วันพุธที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

Consent process for COVID-19 study กระบวนการขอความยินยอมโรคโควิค-19

กระบวนการขอความยินยอมโครงการวิจัยที่เกี่ยวกับโรคโควิค-19: COVID-19 Informed Consent

โรคโควิด-19  (COVID-19) เป็นโรคระบาดใหม่ที่เรายังไม่มีความรู้ลักษณะโรคอย่างแท้จริง ขณะนี้กำลังหาวิธีการตรวจ การรักษาและการป้องกันมีประสิทธิผลที่ดีอย่างเร่งด่วน จึงทำให้มีการวิจัยทางคลินิกที่เกี่ยวกับโรคโรคโควิด-19 ทั่วโลกมากมาย ข้อมูลจาก clinicaltrial.gov สืบค้นโดยคุณหมอ Jesse B. Rafel เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2563 พบว่า มีโครงการวิจัยโรคโควิด-19 จำนวนทั้งสิ้น 301 โครงการ ทำในประเทศจีนมากที่สุดจำนวน 89 โครงการ รองลงมาเป็นประเทศสหรัฐ 50 โครงการ อิตาลีและฝรั่งเศสประเทศละ 29 โครงการ อังกฤษ 14, สเปน 13, แคนาดา 12, เยอรมัน 7, บราซิลและเกาหลีใต้ประเทศละ 6 โครงการ นอกนั้นทำน้อยกว่าประเทศละ 5 โครงการ เป็นโครงการวิจัยระยะที่ 1 จำนวน 18 โครงการ > ระยะที่ 2 จำนวน 53 โครงการ > ระยะที่ 3 จำนวน 66 โครงการ > ระยะที่ 4 จำนวน 17 โครงการ เป็นการวิจัยเชิงทดลอง 197 โครงการและเชิงสังเกต 101 โครงการ  

จากเวปไซด์ของclinicaltrial.gov วันที่ 27 มกราคม 2564 มีโครงการวิจัยทางคลินิกที่เกี่ยวกับโรคโควิด-19ทั่วโลก ถึง 4, 568 โครงการ (รูปแผนที่ 1 จำนวนโครงการวิจัยทางคลินิกโรคโควิด19ในทวีปต่าง ๆ) ทำมากที่สุดในยุโรป รองลงมาคือ ทวีปสหรัฐเหนือ 


ส่วนในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรามีจำนวน 79 โครงการ (ตามรูปแผนที่ 2 จำนวนโครงการวิจัยทางคลินิกโรคโควิด19ในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ทำมากที่สุดในประเทศสิงค์โปร สำหรับประเทศไทยมีทำอยู่ 5 โครงการ ทำเสร็จไปแล้ว 1 โครงการเป็นโครงการเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางการแพทย์ อีก 3 โครงการเรื่องเกี่ยวกับการใช้ยารักษาซึ่งกำลังทำอยู่ อีก 1 โครงการเป็นการวิจัยวัคซีนที่อยู่ในขั้นตอนการเตรียมการ



เรารู้ว่าโรคโควิด-19 ติดต่อโดยละอองฝอยของสารคัดหลั่งที่มีเชื้อไวรัสปะปนอยู่ในทางเดินหายใจจากการไอ หรือการจามของผู้ป่วย เชื้อนี้สามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวได้นานขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม อุณหภูมิ ความชื้น ดังนั้นเมื่อมีการทำวิจัยเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ทีมวิจัยจึงต้องคำนึงถึงการดำเนินกิจกรรมวิจัยให้มีความเหมาะสม เช่น วิธีการขอความยินยอม วิธีการเก็บตัวอย่างและอื่นๆ รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยหลายอย่างเนื่องจากมาตรการ social distancing เช่น การห้ามเดินทางออกจากพื้นที่เสี่ยงสูง ลดจำนวนการเดินทางของบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการทำวิจัย เช่น ผู้กำกับดูแลการวิจัย ทำให้เพิ่มการการกำกับดูแลแบบทางไกล หรือ Remote Monitoring คือใช้การติดต่อสื่อสารกันโดยไม่ต้องเดินทางไปตรวจที่สถานที่วิจัย ทำให้ต้องมีการทำงานที่บ้าน (Work from home) มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ตามข้อกำหนดของ 21 CFR 50.27 (a) ก่อนดำเนินกิจกรรมวิจัยใด ๆ อาสาสมัครต้องลงนามในเอกสารขอความยินยอมที่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยที่เกี่ยวข้อง หรือหากอาสาสมัครไม่สามารถลงนามเอกสารขอความยินยอมได้อาจจะเนื่องจากป่วยหนัก ผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมายจะเป็นผู้ลงนามแทน US FDAยังคงแนะนำให้ใช้หลักการดั้งเดิมของกระบวนการขอความยินยอม โดยการลงนามในเอกสารขอความยินยอมแบบที่เป็นกระดาษ หรือ ใช้แบบelectronic informed consent แต่ผู้ป่วยโรคโควิด-19 มักมานอนโรงพยาบาลคนเดียวและอาจมีอาการหนัก หรือใส่เครื่องช่วยหายใจ ไม่มีญาติติดตามมาที่โรงพยาบาลเนื่องจากการจำกัดคนเข้าพื้นที่โรงพยาบาลและญาติเป็นกลุ่มสัมผัสโรคถูกกักตัวให้อยู่ที่บ้าน ทั้งผู้ป่วยต้องอยู่ในห้องแยกคนเดียว จึงเป็นไปได้ยากที่จะใช้กระบวนการยินยอมแบบดั้งเดิม แนวทางการขอความยินยอมโดยวิธีต่าง ๆอื่น ๆ ที่อาจทำได้ เช่น

·แพทย์ผู้วิจัยเป็นผู้ขอความยินยอมจากอาสาสมัครหรือผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมาย (Legally Authorized Representative: LAR) โดยให้เอกสารขอความยินยอมโดยตรงกับผู้ป่วย ถ้าได้สามารถเข้าไปพบผู้ป่วยได้

·      หากผู้ป่วยอยู่ในห้องแยก ที่ผู้วิจัยไม่สามารถทำได้ หรือไม่ปลอดภัย

o  บางสถานที่วิจัยอนุญาตให้มีการให้ความยินยอมโดยวาจาก่อนแล้วมาลงนามกันภายหลัง

o  ใช้วิธีการโทรศัพท์หรือ video conference  พูดคุยกับผู้ป่วย พร้อมพยานผู้ไม่มีส่วนได้เสีย  หรืออาจมีคนที่อาสาสมัครอยากให้ร่วมรับฟังด้วยเช่น คู่สมรส หรือญาติสนิท หรือผู้ปกครอง

เพื่อให้แน่ใจว่า กระบวนการขอความยินยอมเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและทำแบบเดียวกันทุกคน ต้องมีบันทึก

 

ในกรณีที่ผู้วิจัยไม่สามารถพบผู้ป่วยได้โดยตรง เอกสารแนะนำโครงการวิจัยและใบยินยอมถูกนำไปให้ผู้ป่วยโดยบุคคลที่เข้าไปพบผู้ป่วย เช่น ใน state quarantine

·     เอกสารแนะนำโครงการวิจัยและใบยินยอมที่ยังไม่ได้ลงนามถูกนำไปให้ผู้ป่วยโดยบุคคลที่เข้าไปพบผู้ป่วย

·    ผู้วิจัยใช้วิธีการโทรศัพท์หรือ video conference  พูดคุยกับผู้ป่วย พร้อมพยานผู้ไม่มีส่วนได้เสีย  หรืออาจมีคนที่อาสาสมัครอยากให้ร่วมรับฟังด้วยเช่น คู่สมรส หรือญาติสนิท หรือผู้ปกครอง หรือหากไม่มีพยานอาจใช้วิธีบันทึกเสียงการสนทนาไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้แน่ใจว่า กระบวนการขอความยินยอมเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและทำแบบเดียวกันทุกคน ต้องมีบันทึก

o    ชื่อผู้ที่อยู่ในกลุ่มการสนทนา ผู้วิจัย อาสาสมัครหรือผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมาย และพยาน

o    ผู้วิจัย จะเป็นผู้ขอความยินยอมโดยการบอกกล่าวและการตอบข้อซักถาม

o   มีการยืนยันโดยอาสาสมัคร ว่า มีการตอบคำถามและข้อสงสัยแล้ว อาสาสมัครยินดีเข้าร่วมโครงการ และ

   ลงนาม/วันที่ในเอกสารขอความยินยอมเรียบร้อยแล้ว ในห้องที่พักแยกตัวอยู่

o    พยานยืนยันว่า อาสาสมัครเต็มใจเข้าร่วมโครงการ และลงนาม/วันที่ในเอกสารขอความยินยอม

o  ผู้วิจัยยืนยันว่า อาสาสมัครเต็มใจเข้าร่วมโครงการ และลงนาม/วันที่ในเอกสารขอความยินยอมในขณะที่มี

   พยานนั่งฟังการสนทนาอยู่ด้วย 

หากยังไม่สามารถเข้าไปเก็บเอกสารขอความยินยอมที่ผู้ป่วยลงนามแล้วและเอกสารวิจัยอื่น ๆได้ทันที เนื่องจากเกรงว่า เอกสารจะมีเชื้อโรคติดปะปนอยู่ ให้

·     มีการบันทึกรับรองโดยพยานที่ร่วมฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ และแพทย์ผู้วิจัย ว่า อาสาสมัครตกลงเข้าร่วมโครงการและลงนาม/วันที่ในเอกสารขอความยินยอมแล้ว หรือ

·   ถ่ายรูปเอกสารขอความยินยอมที่ลงนาม/วันที่โดยอาสาสมัคร โดยบันทึกว่าเป็นภาพถ่ายของเอกสารขอความยินยอมที่ลงนาม/วันที่โดยอาสาสมัคร แล้วพิมพ์เก็บไว้ในแฟ้มวิจัย

·   ส่วนเอกสารขอความยินยอมฉบับที่ลงนามโดยพยานที่ร่วมฟังการสนทนาทางโทรศัพท์ และแพทย์ผู้วิจัยให้เก็บไว้ในแฟ้มวิจัย พร้อมบันทึกวิธีการขอความยินยอม เช่น การโทรศัพท์ หรือ video conference  พูดคุยกับผู้ป่วย และบันทึกด้วยว่า เอกสารขอความยินยอมในส่วนของอาสาสมัครยังไม่ได้นำมาเก็บไว้ด้วยกัน

·   ต้นฉบับของเอกสารขอความยินยอมที่ลงนามโดยอาสาสมัครให้เก็บไว้ในซองใส่เอกสาร หลังจากนั้น 7 วัน เจ้าหน้าที่วิจัยจะตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ เนื่องจากคาดว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 จะปะปนติดอยู่ที่เอกสาร ตามคำแนะนำของหน่วยควบคุมโรคติดเชื้อที่คิดว่า 7 วันน่าจะเหมาะสม

 

ในกรณีที่ผู้วิจัยไม่สามารถพบผู้ป่วยได้เนื่องจากข้อจำกัดเรื่องการเดินทาง และเอกสารขอความยินยอมที่ลงนามแล้วไม่สามารถส่งคืนมาให้ผู้วิจัยได้

การใช้ Electronic Informed Consent เช่น

·      บันทึกโดยการใช้Microsoft word จะมี track change ข้อความเดิม ข้อความที่แก้ใหม่ วันที่และเวลาที่แก้

·      ใช้โปรแกรม Clinical Ink บันทึกด้วยลายมือเขียนโดยใช้ปากกา Stylus ลงใน iPad แล้วแปลงลายมือเขียนให้เป็นตัวพิมพ์ (Text) แล้ว upload เก็บไว้ จะมีบันทึกเวลาและวันที่เก็บ

 

หากไม่มีโปรแกรมที่กล่าวมาแล้ว

·   ผู้วิจัยอาจส่งเอกสารแนะนำโครงการวิจัยและใบยินยอมที่ยังไม่ได้ลงนามไปให้อาสาสมัครทางแฟกซ์ หรือ อีเมล์

·      ผู้วิจัยใช้วิธีการโทรศัพท์หรือ video conference  พูดคุยกับผู้ป่วย พร้อมพยานผู้ไม่มีส่วนได้เสีย  หรืออาจมีคนที่อาสาสมัครอยากให้ร่วมรับฟังด้วยเช่น คู่สมรส หรือญาติสนิท หรือผู้ปกครอง หรือหากไม่มีพยานอาจใช้วิธีบันทึกเสียงการสนทนาไว้เป็นหลักฐาน เพื่อให้แน่ใจว่า กระบวนการขอความยินยอมเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดและทำแบบเดียวกันทุกคน ต้องมีบันทึก

o    ชื่อผู้ที่อยู่ในกลุ่มการสนทนา ได้แก่ ผู้วิจัย อาสาสมัครหรือผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมาย และพยาน

o    ผู้วิจัย เป็นผู้ขอความยินยอมโดยการบอกกล่าวและการตอบข้อซักถาม

o    มีการยืนยันโดยอาสาสมัคร ว่า มีการตอบคำถามและข้อสงสัยแล้ว อาสาสมัครยินดีเข้าร่วมโครงการ และได้ลงนาม/วันที่ในเอกสารขอความยินยอมเรียบร้อยแล้วในห้องที่พักแยกตัวอยู่

o    พยานยืนยันว่า อาสาสมัครเต็มใจเข้าร่วมโครงการ และได้ลงนาม/วันที่ในเอกสารขอความยินยอมในขณะที่มีพยานนั่งฟังการสนทนาอยู่ด้วย

o    ผู้วิจัยยืนยันว่า อาสาสมัครเต็มใจเข้าร่วมโครงการ และได้ลงนาม/วันที่ในเอกสารขอความยินยอมในขณะที่มีพยานนั่งฟังการสนทนาทางโทรศัพท์อยู่ด้วย แต่ไม่ได้เก็บเอกสารขอความยินยอมเนื่องจาก เอกสารอาจมีการปนเปื้อนเชื้อโรคและอาจเกิดการแพร่กระจายเชื้อ

 

การส่งอีเมล์ หรือ ถ้าจะให้ดีควรเป็น encrypted email (อีเมล์ที่มีpassword) แนบเอกสารขอความยินยอมไปให้ลงนาม ทั้งนี้ต้องมีระบบการระบุบุคคลที่เป็นญาติได้ ญาติพิมพ์เอกสารขอความยินยอม ลงนามเสร็จแล้วสแกนส่งคืนมา ต้นฉบับค่อยตามเก็บภายหลัง หรือใช้โปรแกรมช่วยเช่น ใช้วิธี Docusign Powerform หรือ Adobe sign  ซึ่งเราจะสามารถเช็ค IP address, ชื่ออีเมล์ที่ส่งกลับคืนมา วันที่และเวลาที่ส่งด้วย หรือถ่ายรูปโดยใช้โทรศัพท์มือถือส่งคืนมาก่อน เอกสารต้นฉบับค่อยตามภายหลัง


พิมพ์เอกสารขอความยินยอมที่ลงนามเสร็จ เมื่อพยานและแพทย์ผู้รักษาลงนามรับรองการได้รับความยินยอมโดย

วาจาแล้ว พิมพ์เอกสารขอความยินยอม ลงนามเสร็จแล้วสแกนส่งคืนอาสาสมัคร หรือญาติ

 

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของอาสาสมัคร หรือผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมายว่าใช้ smart phone, email, scan เป็นไหม

 

หากอาสาสมัครไม่สามารถพิมพ์เอกสารแนะนำโครงการวิจัยและใบยินยอมที่ยังไม่ได้ลงนามได้ อาสาสมัครหรือผู้

แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมาย (Legally Authorized Representative: LAR) สามารถลงนามและวันที่ในกระดาษ

เปล่าที่มีข้อความว่า  มีการตอบคำถามและข้อสงสัยแล้ว อาสาสมัครยินดีเข้าร่วมโครงการ พร้อมระบุ  เลขที่

โครงการ และชื่อย่อโครงการ แล้วส่งให้ผู้วิจัยทาง แฟกซ์ หรือส่งเป็น Text message หรืออีเมล์ ไปให้ผู้วิจัย 

ส่งเอกสารต้นฉบับไปให้ผู้วิจัยทางไปรษณีย์ หรือเมื่อไปพบผู้วิจัยในครั้งต่อไป

หากอาสาสมัครไม่สามารถลงนามด้วยตัวเองได้ และมีผู้แทนโดยชอบธรรมตามกฎหมาย (Legally Authorized Representative: LAR) เป็นผู้ลงนามต้องมีพยานการสนทนาและลงนามเอกสารด้วยทุกครั้ง เมื่ออาสาสมัครมีอาการดีขึ้นสามารถลงนามด้วยตัวเองได้ ก็ให้ดำเนินการขอความยินยอมต่ออาสาสมัครใหม่อีกครั้ง

ผู้วิจัยต้องเก็บเอกสารทั้งหมด พร้อมอธิบายวิธีการขอความยินยอมและเหตุผลที่ขอความยินยอมโดยวิธีการนั้นๆด้วย


ทั้งนี้ควรระบุวิธีการขอความยินยอมในโครงร่างการวิจัย หรือมาตรฐานการปฏิบัติงานของโครงการ และควรได้รับการ

อนุมัติจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยก่อนจึงสามารถทำได้


ขอขอบคุณคำแนะนำดี ๆ จาก US FDA ผู้อ่านที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ https://www.fda.gov/regulatory-information/search-fda-guidance-documents/fda-guidance-conduct-clinical-trials-medical-products-during-covid-19-public-health-emergency

คำแนะนำสำหรับภาคอุตสาหกรรม ผู้วิจัย และคณะกรรมการวิจัย ในการดำเนินการวิจัยทางคลินิกของผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ในช่วงภาวะฉุกเฉินจากการระบาดของโรคโควิด19 Conduct of Clinical Trials of Medical Products During the COVID-19 Public Health Emergency Guidance for Industry, Investigators, and Institutional Review Boards” ฉบับเดือนมีนาคม 2563 และปรับปรุงเมื่อ 4 ธันวาคม 2563 ซึ่ง

คำแนะนำนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นปัจจุบันขององค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐในหัวข้อนี้ ไม่ใช่ข้อบังคับ ท่านสามารถใช้แนวทางอื่น ๆที่เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎเกณฑ์หรือกฎระเบียบข้อบังคับได้

 

ปรับปรุง 21 January 2021

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความใหม่

ชุดตรวจโรคด้วยตัวเองที่บ้าน Home Use Test

ชุดตรวจโรคด้วยตัวเองที่บ้าน Home Use Test ปัจจุบันนี้ชุดตรวจโรคด้วยตัวเองที่บ้านมีใช้กันอย่างแพร่หลาย สามารถอำนวยความสะดวกให้เราได้ตรวจโรค...

บทความแนะนำ